จับชีพจรธุรกิจขนาดเล็ก Ep.1

จับชีพจรธุรกิจขนาดเล็ก Ep.1 #ธุรกิจผมอาจจะเล็กแต่อย่างอื่นผมไม่เล็กนะค้าบ #ปรับตัวสู้โควิด #กำลังซื้อหด
เรากำลังคาดหวัง ว่า ทุกอย่างจะดีขึ้น เมื่อโรคระบาดทุเลาลง การคลายล็อคดาวน์ค่อยๆเกิดขึ้นทีละนิดในสยามเมืองยิ้มบ้านเรา แต่รู้ไหมฮะ? จากที่ #เสี่ยวCREW ได้ฟังปากคำเจ้าของธุรกิจรายเล็ก
พวกเขาเตรียมใจ และเตรียมตัวกันแล้ว ว่า จะยังยิ้มไม่ออกไปอีกพักใหญ่ เพราะเชื่อว่าทุกอย่างจะไม่กลับมาเต็มร้อย ต้องใช้เวลาอีกระยะในการควบคุม ที่สำคัญทุกคนค่อนข้างเชื่อมั่นไปในทิศทางเดียวกัน ว่า “กำลังทรัพย์ในการจับจ่ายใช้สอย” จะลดลง เมื่อโรคร้ายผ่านพ้น ตอนแรกนี้ตัดตอนมาให้อ่านกัน 3 ธุรกิจนะฮะ โรงแรม / โรงเรียน / ออร์กาไนซ์เซอร์ ตอนสองพบกับ ร้านเหล้า / แบรนด์เนม / แอร์โฮสเตส (อังคารหน้า)

“WestoryPoshtel” โรงแรม & คาเฟ่
Fanpage:https://www.facebook.com/westoryhostel
Q: เล่าเรื่องสั้นๆของธุรกิจของคุณ
A: เริ่มต้นมาจากเราไปเที่ยวต่างประเทศแล้วมีโอกาสได้ไปพัก Poshtel แล้วรู้สึก ว่า มันน่ารักดีเป็นโรงแรมที่ได้พบ ได้คุยกับคนพื้นที่ ได้ใกล้ชิดกับแขกที่มาพัก เลยมีแนวคิดอยากทำบ้างที่เมืองกาญ ซึ่งยังไม่มีโรงแรมแนวนี้อยู่ก็เลยได้โจทย์มาเป็น Poshtel
พอได้ตึกมาเดิมก็เป็นโรงแรมอยู่แล้ว มีประมาณ 30 กว่าห้อง 30 เตียง รับได้ทั้งลูกค้าชาวต่างชาติและคนไทย และมันก็มีที่จอดรถด้วย มันก็ตอบโจทย์ที่เราตั้งไว้คือ รับลูกค้าได้ทั้งชาวต่างชาติและคนไทย ที่เพิ่มเติม คือ คาเฟ่และร้านอาหาร คาเฟ่ก็เอาไว้สำหรับคนเมืองกาญเอง ที่เค้าจะหาที่นั่งกินข้าว หาที่พูดคุยกัน เที่ยวสังสรรค์ สุดสัปดาห์ก็อาจจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาหรือลูกค้าที่เข้ามาพัก
Q: ธุรกิจเป็นอย่างไรในสภาวะปกติ
A: ก่อนโควิดถือว่าโอเคเลย ดีนะ เพราะของเราเป็นโรงแรมประเภทใหม่ มีทาร์เก็ตกรุ๊ปเฉพาะกลุ่มอย่างเช่นคนที่มีไลฟ์สไตล์เป็นวัยรุ่น ชอบความมินิมอล หรือสไตล์ลอฟท์ ก็เข้ามาพักอยู่แล้ว แล้วก็ฝรั่งเองที่ปากต่อปากพวกแบคแพคเกอร์ ที่เค้าอยากจะได้อะไรที่ local อยากได้อะไรที่มันสบายกว่า ดีกว่า มีคอมมูนิตี้ที่ดีกว่า ทำให้สื่อหลายๆ สื่อมีความสนใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาได้เยอะเลยทีเดียว
เพราะคอนเซ็ปต์ของเราคือ Journey To Kanchanaburi เหมือนเดินทางมาในเมืองกาญ ให้เค้าจำได้เพราะ Decoration มันล้อตามเหมือนขึ้นรถไฟไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสะพานข้ามแม่น้ำแคว หรืออื่นๆ ที่สะท้อนความเป็นเมืองกาญซึ่งมี Story ของมันอยู่
Q: เมื่อ Covid-19 มาเกิดผลกระทบต่อธุรกิจคุณอย่างไร ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด
A: ก็ต้องปิดโรงแรมไปชั่วคราว เพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยด้วย ตามมาตรการของรัฐด้วย ก็ปรับตัวด้วยการเปิดในส่วนของคาเฟ่อยู่ มีบริการเดลิเวอรี่ หรือ take away และก็ลดราคาของสินค้าลงมาด้วย
Q: เดือดร้อนขนาดนี้ มีอารมณ์ทำอะไรเพื่อคนที่เดือดร้อนกว่าหรือไม่
A: มีการทำ CSR เพิ่มขึ้น โดยการแจกข้าว 100 กล่อง ในวันที่เดือดร้อนเราก็ยังต้องดูแลพนักงานของเราด้วย ดูแลคนในชุมชนด้วยก็สำคัญ ก็เลยมีการไปบริจาคเพื่อคืนสู่สังคมบ้าง ในยามวิกฤตแบบนี้ถ้าเรายังช่วยดูแลสังคมอยู่ ยังเหนื่อยขนาดนี้ เป็นต้นแบบให้โรงแรมอื่นได้เห็น ก็จะได้มาทำร่วมกัน
Q: คาดการณ์ว่าธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
A: ก็คงจะเหนื่อยนะ เพราะประเทศไทยให้ความสำคัญที่การท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ แต่ปัญหาคือตอนนี้มีแต่คนในประเทศ แล้วคนในประเทศก็มีจำกัดด้วย ส่วนหนึ่งพึ่งโดนออกจากงาน มันก็ยิ่งจำกัดขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง แล้วอย่างต่างประเทศอเมริกาก็มีประท้วง คนยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ก็ยากที่จะกลับมา หรือกลับเข้ามาแต่ไม่เยอะเท่าเดิม เพราะค่าใช้ตั๋วก็แพงขึ้น แม้แต่คนไทยเองจะใช้อะไรก็ยังต้องคิดเลย
ตอนนี้โรงแรมในเมืองกาญเองก็ยังเปิดไม่ครบ ก็อาจจะรอดูสถานการณ์ก่อน แต่ของเราเองต้องเปิดแล้ว ด้วยพนักงานเองก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ทำให้เราเป็นที่แรกๆ ที่เปิดให้บริการ และก็มีการปรับกลยุทธ์เชิงรุกเข้าหาลูกค้าเลย ถามว่าลูกค้าอยากได้อะไร ถ้าเราทำได้ก็ให้ไปเลย

“ครูปุ้ย” โรงเรียนกวดวิชา
https://www.facebook.com/TheSyllabusByKruPui/
Q: เล่าเรื่องสั้นๆของธุรกิจของคุณ
A: เปิดโรงเรียนกวดวิชามา 15 ปีแล้ว เป็นลักษณะการสอนเดี่ยวและสอนกลุ่มเล็กเท่านั้น โดยมีทุกวิชา เด็กสามารถเลือกตารางเวลาเรียนได้เลยเราจัดคุณครูให้โดยเฉพาะ
Q: ธุรกิจเป็นอย่างไรในสภาวะปกติ
A: คือเมื่อก่อนโรงเรียนสอนพิเศษมันก็ไม่เยอะ เพราะฉะนั้นก็จะมีนักเรียนที่เข้ามาเยอะมาก พอเวลาผ่านไปโรงเรียนกวดวิชาเปิดเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก ดีไม่ดีเราไม่รู้ จนกว่าเด็กจะได้ลองเรียน ทำให้ตอนนี้จำนวนเด็กดูน้อยลง เมื่อก่อนมีหลายวิชา มีคุณครูเยอะมาก 30-40 ท่าน ตอนนี้เหมือนเราอยู่ด้วยคุณภาพ เป็นการบอกต่อ แต่ถามว่าเป็นยังไงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ก็มีจำนวนน้อยลง แต่อยู่ยาวมากขึ้น อยู่จนถึงเข้ามหา’ลัยเลย ก่อนหน้าโควิดก็จะมีเรื่องของฝุ่น PM2.5 มีเรื่องของฆาตกรกราดยิงในห้าง และมีปัญหาเรื่องการเมืองต่างๆ มันก็จะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา
Q: เมื่อ Covid-19 มาเกิดผลกระทบต่อธุรกิจคุณอย่างไร ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด
A: ก็โดนปิดก็ต้องหาทางออกให้ดีที่สุด ก็คือการสอนออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนปฏิเสธมาตลอด เพราะโรงเรียนของเราไม่ได้ใหญ่โตเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เราเน้นคุณภาพ เด็กที่เรียนกับเราจะต้องได้ผล100%เท่านั้น เราถึงเลือกที่จะสอนเดี่ยวกับกลุ่มเล็ก
พอโควิดมาก็กระทบ1ล้าน% เพราะโรงเรียนถูกปิดเลย เราก็ต้องหาทางออกก็คือการสอนออนไลน์ แล้วก็โชคดีคือมีเทคโนโลยีที่มา Support ในการสอนออนไลน์ที่เราคิดว่าดีกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาด้วยจริงๆ เราก็เลยเปลี่ยนมาสอนออนไลน์ ซึ่งตอนนี้ก็ปิดยาวๆเลยค่ะ คงจะได้เปิดช่วงเดือนกรกฎาคม
Q: ผลการตอบรับที่ย้ายมาสอนบนออนไลน์เอง หรือแม้กระทั่งยอดขายเอง รายรับ สามารถดูแลให้อยู่รอดได้หรือไม่
A: ก็อย่างที่บอกค่ะว่าเด็กที่เรียนที่นี่ก็จะไปเรียนที่อื่นลำบาก เพราะเราสอนไม่เหมือนคนอื่นส่วนใหญ่จะเรียนยิงยาวกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้แทบจะ100%เด็กที่เรียนด้วยก็ยังเรียนอยู่ปกติ ถ้าถามว่ากระทบในเรื่องรายได้หรือไม่ ก็จะเป็นรายได้ช่วงปิดเทอมมากกว่า เพราะรายได้จะเพิ่มขึ้นช่วงนั้น
เพราะเด็กที่อยู่ต่างจังหวัดหรือเด็กที่ตอนเปิดเทอมไม่ว่าง ว่างเรียนตอนปิดเทอมอยากเรียนเพิ่ม แต่ตอนนี้ก็กลายเป็นว่าไม่มีเลย เงียบๆ ตอนนี้ก็เป็นนักเรียนกลุ่มที่เรียนต่อเนื่อง นักเรียนใหม่ไม่มีเลย อย่างเมื่อก่อนคนสามารถแวะเข้ามาสอบถามที่โรงเรียนได้ แต่พอตอนนี้มาอยู่ในออนไลน์บวกกับจริงๆ เราก็ไม่ได้เก่งออนไลน์ขนาดนั้น ในเรื่องของการโปรโมท หรือพวกmarketing online เราไม่เก่งเลย เราโชว์คุณภาพ เราโชว์ของจริง เราชอบที่จะให้เข้ามาคุย ว่า คุณชอบหรือไม่ ถ้าชอบก็เรียนไม่ชอบก็ไม่ต้องเรียน
แต่พอมันเป็นออนไลน์มันเหมือนอยู่อีกโลกนึง เราไม่ถนัด ฉะนั้นนักเรียนใหม่ที่จะได้ก็เกิดจากนักเรียนเก่า หรือผู้ปกครองแนะนำ เราก็พยายามหาช่องทาง เพื่อเอามาช่วยคนที่อยู่กับเรา เลี้ยงดูพนักงานของเรา ไม่ให้มันกระทบจนเกินไป อะไรที่เรียนเตรียมพร้อมได้เราก็จะทำไว้ก่อน
Q: เดือดร้อนขนาดนี้ มีอารมณ์ทำอะไรเพื่อคนที่เดือดร้อนกว่าหรือไม่
A: แน่นอนค่ะ เพราะเราก็มีขาย FACE SHIELD แอลกอฮอล์เจล ทำให้เรามีรายได้อีกช่องทางนึง พอเรามีรายได้เราก็อยากคืนสู่สังคม ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจากที่เราขายได้เราจะบริจาคให้กับโรงพยาบาลราชวิถี
Q: คาดการณ์ว่าธุรกิจของคุณหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
A: ก็ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปกันนะ เพราะธุรกิจการศึกษาถ้ามันหายไปนาน เราก็ต้องพยายามให้มีความเคลื่อนไหว แต่ถามว่าพอเปิดขึ้นมามันก็ต้องมาปรับตัวกันใหม่ เพราะการเรียนพิเศษมันต้องใช้เงินผู้ปกครอง แล้วทุกๆคนได้รับผลกระทบมันก็ต้องช่วยกัน
ถ้าเปิดมาก็ต้องมีในเรื่องของโปรโมชั่นที่ถูกลงเยอะๆ เพื่อที่จะช่วยเหลือเด็กที่อยากเรียน เพราะระบบการศึกษาไทยมันแย่การเรียนพิเศษมันเลยกลายเป็นเรื่องจำเป็น แต่ถ้าโรงเรียนมันดีก็ไม่จำเป็น พอมันจำเป็นเราก็มาดูว่าอะไรที่เราพอจะช่วยเหลือได้บ้าง ถ้าเปิดมาก็ต้องมาว่ากันอีกที อยู่กันไปให้รอดก่อนดีกว่า คือเหมือนตอนนี้ทุกคนก็ต้องรีบปรับ แล้วทุกอย่างมันก็ฉุกละหุกมันก็ลำบาก
Q: อยากจะฝากอะไรถึงคนที่ดูแลในหน่วยงานนี้หรือไม่ ที่ต้องช่วยเยียวยา
A: ก็คิดว่าเค้าทำดีแล้ว ทำเต็มที่แล้ว คงพยายามช่วยกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าอยากก็อยากจะฝากไปถึงที่ห้างมากกว่า เพราะโรงเรียนก็ต้องปิด แล้วค่าเช่าที่ก็ต้องจ่าย เพราะฉนั้นผู้ประกอบการเจ้าของห้างก็อยากให้ลดค่าเช่าแบ่งเบาภาระค่าเช่าของผู้เช่าด้วย ต้องมีความน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ก็อยากให้ช่วยๆ กัน

“ฟอร์แลนด์” อีเว้นท์ ออร์กาไนซ์เซอร์
Q: เล่าเรื่องสั้นๆของธุรกิจของคุณ
A: ธุรกิจผมเป็นบริษัทรายย่อยที่ทำเกี่ยวกับอีเว้นท์ ออร์กาไนซ์เซอร์ สติกเกอร์ อิงค์เจ็ทต่างๆ รวมถึงให้เช่าระบบเวที แสง สี เสียงด้วย ครบวงจรเลย ถึงตอนนี้เปิดมา 13 ปีแล้ว
Q: ธุรกิจเป็นอย่างไรในสภาวะปกติ
A: ธุรกิจเป็นไปได้ด้วยดีมาโดยตลอด มีทั้งลูกค้าประจำและขาจร ลูกค้าขาประจำก็จะมาให้เราทำอีเว้นท์ ทำสติเกอร์ อิงค์เจ็ทต่างๆ เพื่อเป็นสื่อประชาสัมพันธ์ทุกเดือนอยู่แล้ว ก็ค่อนข้างมีงานต่อเนื่องกัน
Q: เมื่อ Covid-19 มาเกิดผลกระทบต่อธุรกิจคุณอย่างไร
A: ก็กระทบ100% เพราะเนื่องจากว่าลูกค้าที่เป็นลูกค้าประจำได้รับผลกระทบมาก่อน คือเค้าต้องปิดบริษัทชั่วคราวเพื่อประคับประคองตัวเขาเอง แต่ของผมเป็นส่วนรองลงมาที่ได้รับผลกระทบ ก็เค้าไม่มีงาน ก็ขอหยุดพักชั่วคราวทำให้ฝั่งผมก็ไม่มีงาน100% ตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. จนถึงเดือน พ.ค.
เรียกได้ว่า shut down ไปเลย 100% ทุกเครือข่ายของบริษัทเลย ไม่ว่าจะเป็นอีเว้นท์ ออร์กาไนซ์ สติเกอร์ อิงค์เจ็ท
Q: ปรับตัวอย่างไรให้อยู่รอด
A: คืออย่างที่บริษัทเองมีลูกน้องเยอะมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฟรีแลนซ์ประจำ ก็มีการคุยกันว่าขอลดเงินเป็น 50% และก็หางานเพิ่มเติมเสริมมาคือ ติดฟิล์มกรองแสงตามบ้านให้เค้ามีรายได้เข้ามาอีกทาง
Q: เห็นมีขายลูกชิ้นด้วย
A: จริงๆ ลูกชิ้นเป็นธุรกิจที่คุณแม่ขายอยู่แล้ว เพราะคุณแม่จะขายทุกอย่างเกี่ยวกับเส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นเล็ก เส้นใหญ่ ก๋วยเตี๋ยว เครื่องปรุง รวมไปถึงลูกชิ้น ลูกชิ้นมันเป็นของกินที่ถ้าช่วงนี้เราทำแก้เหงาได้ เพราะเราก็มีสูตรอยู่ก็เลยลองทำดู
Q: เดือดร้อนขนาดนี้ มีอารมณ์ทำอะไรเพื่อคนที่เดือดร้อนกว่าหรือไม่
A: คือหลักๆ เราไม่ได้คิดถึงสังคม 100 % คือผมเป็นคนชอบซื้อเสื้อผ้าค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว ก็ว่างเราก็เอาเสื้อผ้ามารวบรวมไปบริจาค แล้วก็ตู้ปันสุขก็ค่อนข้างดีพอสมควรที่มีโครงการมา เราก็อยากจะทำบุญด้วยอยู่แล้ว ไม่ได้เหลือเยอะมากแต่ ก็มีบางส่วนที่เราได้กินได้ใช้ ก็ได้เผื่อแผ่ไป
Q: คาดการณ์ว่าธุรกิจหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
A: โดยส่วนตัวคิดว่าถ้าโควิดจบกิจกรรมทั้งหมดในส่วนของอีเว้นท์จะฟื้นตัว 70-80% ก็ปลายปีเลย คาดว่าน่าจะช่วง พ.ย. แต่ช่วงนี้ที่เรามีโครงการกันอยู่แล้ว ก็จะเป็นในส่วนของอิงค์เจ็ทมากกว่าอีเว้นท์ เพราะในส่วนของการรวมตัวก็ยังห้ามอยู่ แต่ สติเกอร์ อิงค์เจ็ท คนก็ยังต้องใช้ ต้องทำ เพื่อประชาสัมพันธ์ มีคุยกับเซลล์ไว้บ้างว่าจะทำอย่างไรเพื่อกระตุ้นยอดขายขึ้นมา
ในส่วนของธุรกิจผมเชื่อว่าทุกคนคงได้รับผลกระทบทั้งหมดเพียงแต่ว่าใครเจ็บเร็วและลุกขึ้นมาเร็วมากกว่า ผมว่ามันยังอยู่อีกสักพัก ก็ต้องหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับมันให้ได้