top of page

หุ้นกลุ่มเครื่องสำอางจะกลับขึ้นมาแตะจุดสูงสุดเดิมได้หรือไม่ ??



หุ้นกลุ่มเครื่องสำอางจะกลับขึ้นมาแตะจุดสูงสุดเดิมได้หรือไม่ ??... คงเป็นคำถามคาใจของนักลงทุนที่เคยเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ !! มรสุมลูกใหญ่กำลังผ่านพ้นไปในหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง เพราะนับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มนี้โดนเทขายรุนแรง กระทบราคาหุ้นดิ่งลงมากกว่า 50% จากจุดสูงสุดที่เคยขึ้นไปทดสอบในปีนี้ (ตามตาราง) ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง เคยจัดอยู่ในหมวดหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูงมาก หรือ Growth Stock จึงทำให้นักลงทุนยอมจ่ายราคาที่มีพรีเมียมเข้าไปด้วย โดยการซื้อขายบน P/E สูงถึง 30-50 เท่า หรือบางบริษัทเคยขึ้นไปถึง 100 เท่า หุ้นที่มี P/E สูงคืออะไร...P/E หรือ Price (ราคา) to Earning (กำไร) เป็นหนึ่งในเครื่องมือนักวิเคราะห์นำมาใช้วัดความถูกแพงของหุ้น ถ้าราคาหุ้นสูง กำไรบริษัทต้องสูงขึ้นตามด้วย เพื่อสะท้อนถึงการเติบโตแบบมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ นักลงทุนคาดหวังกำไรในแต่ละไตรมาส หรือแต่ละปี ธุรกิจเกี่ยวข้องกับความงามจะเติบโตในระดับสูงมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในธุรกิจเกาะกระแส "เมกะเทรนด์" ผู้หญิง หรือแม้แต่ผู้ชายสมัยนี้ต่างขาดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ส่งผลให้กราฟความต้องการเครื่องสำอางมีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตและการบริหารไม่สูง จึงทำให้ศักยภาพทำกำไรโดดเด่นมากกว่าธุรกิจค้าปลีกประเภทอื่นๆ แต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเริ่มส่งสัญญาณปรับตัวลง ก่อนจะปรับฐานรุนแรงในเดือนมิถุนายน จากที่ดัชนีเคยขึ้นไปทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ช่วงต้นปี ได้ปรับลงมาต่ำกว่า 1,600 จุด ติดลบกว่า 14% แค่ช่วงเกือบ 4 เดือนเท่านั้น ปัจจัยลบครั้งนี้ฉุดให้หุ้นที่เคยซื้อขายค่า P/E สูงโดนเทขายกันอย่างรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้นหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง ยังโดนผลกระทบลูกหลงการกวาดล้างเครื่องสำอางผิดกฎหมายของทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ในคดีเมจิกสกิน-ลีน ฐานลูกค้ารายย่อยจึงระมัดระวังซื้อสินค้ามากขึ้น กระแสด้านลบสินค้าเครื่องสำอางผิดกฎหมาย ยังได้ลุกลามถึงฐานตลาดใหญ่ในจีน ทำให้กระบวนการนำเข้าตรวจสินค้ามีความเข้มงวดกว่าเดิมใช้เวลามากขึ้นในการขออนุญาตต่างๆ กดดันยอดขายและกำไรเติบโตต่ำกว่าที่วิเคราะห์และนักลงทุนเคยคาดหวังกันไว้สูง... ตลาดหุ้น หรือราคาหุ้น มักจะปรับตัวขึ้นหรือลง ตามความรู้สึกและความเชื่อของผู้ลงทุนเสมอ แม้ว่าความเป็นจริงแล้วเหตุการณ์จะไม่ย่ำแย่อย่างที่คิดไว้ก็ตาม ยกตัวอย่างในหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง ราคาปรับตัวลงกันถ้วนหน้า แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส2/61 ยังไม่ได้เผยแพร่อย่างเป็นทาง แต่ความเชื่อว่ามันย่ำแย่ ทำให้ทุกคนจึงแห่ขายหุ้นเพื่อหนีความเสี่ยงพร้อมกัน ประกอบกับข่าวสารที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media) แม้ข้อดีคือได้รับข้อมูลรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือความบิดเบือนของข้อมูลที่อาจจะไม่เป็นตามหลักข้อเท็จจริง ทำให้การตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น เกิดความผิดพลาดกันอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงหลังๆนี้การเคลื่อนไหวของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ยังถูกบิดเบือนเกินความเป็นจริงจากผลกระทบการใช้เครื่องมือตราสารอนุพันธ์ เช่น "Block Trade" และ "DW" ล่าสุดเราได้รวบรวมมุมมองนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ส่วนมากเริ่มเพิ่มน้ำหนักมุมมองเชิงบวกกับหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง เพราะเชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส2/61 เป็นจุดเลวร้ายที่สุดแล้ว ขณะที่บางบริษัทที่เป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางในไทย กลับมามีคำสั่งซื้อสินค้าตามปกติแล้ว จากที่เคยชะลอตัวในช่วงที่มีผลกระทบคดีเมจิกสกิน-ลีน ส่วนตลาดต่างประเทศ ที่หลายบริษัทพึ่งพิงฐานลูกค้าในจีน ยังต้องหาคำตอบว่าในครึ่งหลังของปี แต่ละบริษัทจะเพิ่มศักยภาพยอดขายในตลาดจีนได้ตามความหวังของนักลงทุนหรือไม่ ?? สำหรับเงื่อนไขหลักที่จะทำให้ราคาหุ้นเครื่องสำอางพลิกกลับเป็นขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดเดิมอีกครั้ง...!! เงื่อนไขข้อแรก คือกำไรบริษัทเหล่านี้ ต้องถูกพิสูจน์ว่าสามารถเติบโตได้โดดเด่นเหมือนในอดีต เช่น เติบโต 40-50% ขึ้นไป หรือกำไรในแต่ละไตรมาส สูงกว่าที่ตลาดคาด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและนักวิเคราะห์ กลับมาบวก พรีเมียมในราคาหุ้น เพื่อให้สามารถกลับไปซื้อขายบน P/E สูง โดยมีกำไรเติบโตรองรับกับราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นอกเหนือไปจากตัวบริษัทเองแล้ว หุ้นทั้งกลุ่มค้าปลีกต้องถูกเพิ่มน้ำหนักในทิศทางเชิงบวกเหมือนกันด้วย (ปัจจุบันหุ้นค้าปลีกยังโดนกดดันนำโดยหุ้น CPALL ลงไปต่ำสุดรอบเกือบ 1 ปีเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา) เงื่อนไขข้อสอง คือภาวะตลาดหุ้นไทยต้องกลับมาอยู่ในบรรยากาศที่เป็นบวก ซื้อขายบน P/E สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติของตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 15 เท่า โดยต้องมีแรงสนับสนุนจากกระแสเงินลงทุนกลุ่มต่างชาติ ,นักลงทุนสถาบัน ,หรือกลุ่มนักลงทุนเป็นโบรกเกอร์ (เป็นพวกชอบเก็งกำไร) เพราะสถานการณ์ปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัวหลังปรับฐานรอบใหญ่ นักลงทุนส่วนมากยังไม่กล้าลงทุนเต็มที่ แต่เมื่อใดตลาดหุ้นไทยกลับมาดีขึ้น ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยบวกใดก็ตาม และทุกคนมีความเชื่อมั่นว่าหุ้นกลุ่มเครื่องสำอางจะกลับมาเติบโตสูงเช่นเดิม...ถึงเวลานั้นมีโอกาสหุ้นจะพลิกกลับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมได้เช่นกัน เงื่อนไขข้อสาม คือถ้าทุกคนมีความเชื่อว่าหุ้นเครื่องสำอางจะกลับมาเติบโตได้จริงแล้ว กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ซื้อหุ้นเก็บเข้าพอร์ต โดยไม่ขายหุ้นออกมาเพิ่มในตลาด ผลคือปริมาณหุ้นหมุนเวียนที่แท้จริงในตลาด (ฟรีโฟลต์) จะลดน้อยลง ตามหลักทฤษฎีนี้คือ "หุ้นในตลาดมีน้อยกว่าคนซื้อที่มีจำนวนมาก" ราคาหุ้นบริษัทนั้นก็จะเร่งขึ้นเร็วตามกลไกตลาดทันที สมมติฐานทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการนำข้อมูลจากนักวิเคราะห์หลายๆสำนักเพื่อตั้งข้อสังเกตุ โดยหวังเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจสร้างผลตอบแทนให้กับพอร์ตต่อไป และไม่ได้มีเจตนาชี้นำหรือแนะนำให้ซื้อหรือขายหุ้นแต่ประการใด… เรามาลองดูกันว่าหุ้นกลุ่มเครื่องสำอาง 4 บริษัทที่นักลงทุนนิยมซื้อขายกันมากที่สุดในรอบปีเป็นอย่างไรกันบ้าง... Company • BEAUTY * - ราคาสูงสุด 23.70 (บาท) - ราคาต่ำสุด 6.45 (บาท ) - เปลี่ยนแปลง- 72.70(%) - ราคาปิด (24 ส.ค.61) 9.60 (บาท) - ราคาพื้นฐานเฉลี่ยIAA Consensus 12.00(บาท) - Upside 25.00 (%) • DDD * - ราคาสูงสุด 121.00 (บาท) - ราคาต่ำสุด 40.50 (บาท ) - เปลี่ยนแปลง- 66.50(%) - ราคาปิด (24 ส.ค.61) 42.50 (บาท) - ราคาพื้นฐานเฉลี่ยIAA Consensus 60.50 (บาท) - Upside 42.35 (%) • RS * - ราคาสูงสุด 35.75 (บาท) - ราคาต่ำสุด 13.70 (บาท ) - เปลี่ยนแปลง - 61.60 (%) - ราคาปิด (24 ส.ค.61) 17.20 (บาท) - ราคาพื้นฐานเฉลี่ยIAA Consensus 20.00 (บาท) - Upside 16.30 (%) • Karmart * - ราคาสูงสุด 8.05 (บาท) - ราคาต่ำสุด 3.98 (บาท ) - เปลี่ยนแปลง - 50.50 (%) - ราคาปิด (24 ส.ค.61) 4.14 (บาท) - ราคาพื้นฐานเฉลี่ยIAA Consensus 4.85 (บาท) - Upside 17.10 (%) #ความสวยไม่คงที่แต่จะให้ดีอย่าลืมกดแชร์นะจ๊ะ

7 views0 comments
bottom of page