“หุ้นไทย” ยังแจ่มไม่พอ !! ต่างชาติเก็งกำไรระยะสั้น

“หุ้นไทย” ยังแจ่มไม่พอ !! ต่างชาติเก็งกำไรระยะสั้น #เก็งกำไรเป็นเรื่องของหุ้นคิดถึงคุณเป็นเรื่องของใจ
ย่างเข้าเดือนหกหุ้นไทยมีแนวโน้มคึกคักนะฮะ ต่างชาติทยอยเข้ามาซื้อหลายวันติด ระหว่าง 1-7 มิ.ย. มียอดซื้อสะสมอยู่ 2,664 ล้านบาท จริงๆไม่ได้เยอะอะไรเลย แต่มีผลทางจิตใจ!! ทำให้คึก ดึงผู้ลงทุนกลุ่มอื่นเข้ามาเทรดกันอย่างสนุกสนาน . แต่...ประเด็นที่ #เสี่ยวCREW คิดว่าทุกท่านต้องคอยดูให้ดี คือ การซื้อรอบนี้ของ “กลุ่มผู้ลงทุนต่างชาติ” เป็นเพียงการเก็งกำไรระยะสั้น..เหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ ? . วันนี้เลยอยากนำเสนอมุมมองเกี่ยวกับประเด็นนี้ จาก "ไพบูลย์ นลินทรางกูร" ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ไว้ให้ประกอบการตัดสินใจลงทุนกันฮะ . "เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เราจะเริ่มเห็นเม็ดเงินต่างชาติประเภท Tactical Trading (ลงทุนระยะสั้น) กลับมาซื้อหุ้นไทยในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า โดยมีปัจจัยการเร่งฉีดวัคซีน การเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว เป็นจุดขายหลัก . บวกกับระดับ SET Index ที่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด ขณะที่หลายตลาดหุ้นได้พ้นจุดนั้นไปแล้ว อีกหนึ่งตัวช่วย คือ กระแสเงินโลกที่คาดว่าจะไหลกลับเข้า Emerging Markets ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก" . อย่างไรก็ตามมี 3 ปัจจัยหลักที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญ ประกอบด้วย 1. ขาดความน่าสนใจระดับมหภาค: ทั้งจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ และปัญหาโครงสร้างประชากรที่จำนวนคนในวัยทำงานลดลงเรื่อยๆ ทั้งหมดนี้ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพในช่วงหลายปีที่ผ่านมา . 2. ขาดหุ้น New Economy ตลาดหุ้นไทยขาดหุ้น New Economy เช่น หุ้นเทคโนโลยี หุ้น Unicorn ถึงแม้เรามีหุ้นใหม่เข้าตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่เป็นกิจการประเภท Old Economy ที่ต่างชาติไม่ค่อยสนใจ ซึ่งสะท้อนได้จากระดับการถือครองหุ้น IPO โดยนักลงทุนต่างชาติ เฉลี่ยเพียง 7% ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา . 3. ถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุนต่อเนื่อง น้ำหนักตลาดหุ้นไทยใน Benchmark ที่นักลงทุนต่างชาติใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการลงทุนถูกปรับลดลงมาตลอด เช่น MSCI AC Asia ex. Japan Index ลดน้ำหนักหุ้นไทยจาก 7-8% เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เหลือ 2-3% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว และ 1.8% ในปัจจุบัน ทำให้กองทุนส่วนใหญ่ต้องลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองไปข้างหน้าโอกาสที่จะเห็น Foreign Ownership กลับไปสู่ระดับ 35-40% เหมือนในอดีตยังไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าปัญหาเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข . ประธาน FETCO ระบุอีกว่า การจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาเนื้อหอมอีกครั้งในสายตานักลงทุนระดับโลก รัฐบาลต้องเริ่มแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ . สร้างกลไกขับเคลื่อนชุดใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งปฎิรูปการเมืองไทยให้หลุดพ้นจากวงจรความขัดแย้งเดิมๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ . ตลาดหลักทรัพย์เองก็ต้องเร่งหากิจการขนาดใหญ่ประเภท New Economy มาจดทะเบียน ควบคู่กับการหากลยุทธ์เพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทยในดัชนีอ้างอิงต่างๆ เช่น หาแนวทางเพิ่ม Free Float ของหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนีอ้างอิงก็อาจเป็นวิธีหนึ่ง เนื่องจากดัชนีอ้างอิงส่วนใหญ่ให้น้ำหนักเฉพาะกับ Market Cap ในส่วนที่เป็น Free Float