เก็บคองอเข่า !! มะกันดึงเงินกลับครั้งใหญ่

เก็บคองอเข่า !! มะกันดึงเงินกลับครั้งใหญ่ #ถึงQEจะโดนลดไม่เป็นไรเพราะมีเธอโดนใจอยู่ทั้งคน
การประชุมนัดสำคัญของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ที่กำลังเกิดขึ้นในวันที่ 2-3 พ.ย.นี้ (ทราบผลราวกลางดึกของคืนวันที่ 5 พ.ย.ตามเวลาไทย) ถือเป็นการประชุมนัดโคตรสำคัญ และชี้ชะตาตลาดการลงทุนทั่วโลก ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกก็คงจดจ่อกับเรื่องนี้ไม่ต่างจาก #เสี่ยวCREW เป็นแน่แท้ . เพราะ...เป็นการประชุมที่ทั่วโลกคาดการณ์ถึงโอกาสที่ FED จะประกาศลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) อย่างเป็นทางการ และในอนาคตก็จะตามมาด้วย นโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป . ส่งผลให้ผู้ลงทุนส่วนใหญ่เริ่มทยอยปรับพอร์ตลดน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดแรงขายรุนแรงจากการที่ FED ดึงเงินกลับเหมือนในอดีต . ส่วนหนึ่งถูกสะท้อนจากแรงขายนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเมื่อ 1 พ.ย. ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 375 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้น ฟิลิปปินส์ที่เป็นแรงซื้อบางๆ . ส่วนตลาดหุ้นไทย ไม่รอดซิค้าบบบ!! ติดอันดับนักลงทุนต่างชาติขายมากสุดเป็นอันดับ 2 ในเอเชีย . ผลสำรวจมุมมองนักวิเคราะห์หลายสำนักมีความเห็นสอดคล้องกัน คือ แนะนำนักลงทุนเริ่มลดน้ำหนักลงทุนหุ้น แต่คาดว่าผลกระทบของรอบนี้ อาจไม่ร้ายแรงเหมือนครั้งที่ FED ลด QE ในช่วงปี 2556 . บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่า กรณีที่ FED ประกาศ QE tapering รอบนี้กระทบกับบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยไม่รุนแรง เหมือนกับอดีตที่เกิดขึ้น สะท้อนจากข้อมูลช่วง 3 เดือนก่อนหน้าการทำ QE Tapering ในปี 2556 พบว่า นักลงทุนต่างชาติปรับพอร์ตขายหุ้นไทยมูลค่ากว่า 8.5 หมื่นล้านบาท หากเทียบแรงกดดันในรอบนี้คาดว่าจะกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออกหุ้นไทยค่อนข้างจำกัด . เนื่องจากนักลงทุนตอบสนองและรับรู้เรื่อง QE Tapering มาระยะหนึ่งแล้ว ที่สำคัญสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติในปัจจุบันต่ำมาก เหลือไม่ถึง 20% แตกต่างกับช่วง QE Tapering เมื่อปี 2556 ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยทางตรงสูงถึง 27.8% . อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า FED จะเริ่มต้นลดวงเงิน QE ด้วยเม็ดเงินเท่าไร รวมถึงระยะเวลาการวางกรอบลดวงเงิน QE เสร็จสิ้น หากอยู่ในช่วงกรอบเวลา 6-8 เดือนข้างหน้าก็ไม่น่าจะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยมากนัก . บล.เคทีบีเอสที ประเมินว่า กรณี FED ประกาศช่วงเวลาลดวงเงิน QE จนเหลือ 0 ภายใน 6-9 เดือน เป็นสิ่งสะท้อนว่ามีความกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อ ที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าคาด เป็นที่มาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไป หากเป็นเช่นนั้นมีความเสี่ยงสูงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงมาแตะแถว 1,550 จุดภายในเดือน พ.ย.นี้ . แต่ทางกลับกันกรณี FED ยืดหยุ่นระยะเวลาลดวงเงิน QE เป็น 1 ปีไปถึง 1 ปีครึ่ง ส่งผลบวกทันทีต่อบรรยากาศการซื้อขายตลาดหุ้นไทย มีโอกาสเปิดอัพไซด์ดัชนีฯทะยานสู่ 1,700 จุดได้อีกครั้ง . ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า FED จะเริ่มลดวงเงิน QE ภายในสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะสิ้นสุดการลดวงเงิน QE ภายในกลางปี 2565 ซึ่งแปลว่า FED อาจทยอยลดวงเงิน QE เดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ . แบ่งเป็นการลดการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวงเงินปัจจุบันที่ 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/เดือน . และลดการเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (mortgage-backed securities) เดือนละ 0.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากวงเงินปัจจุบันที่ 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/เดือน . ซึ่งจะส่งผลให้วงเงิน QE ทั้งหมดที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ/เดือนในปัจจุบัน หมดลงในช่วงกลางปี 2565 ตามที่ FED ได้ส่งสัญญาณไว้ . เมื่อรู้แนวทางดังนี้แล้ว ก็อย่าลืมดูตาม้าตาเรือกันด้วยนะครับ