ปีนี้ตลาดตราสารหนี้คึกคักมากโดยเฉพาะผู้ออกฝั่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (บจ.) เพียงแค่เดือนกว่าๆยอดประกาศขายหุ้นกู้ทะลุ 5 หมื่นล้านบาทไปแล้ว เกินกว่าครึ่งของบริษัทที่ออกนำเงินไปใช้คืนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน (Roll Over)
มีเพียงไม่กี่บริษัทที่นำเงินไปใช้ขยายธุรกิจแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ก็ยังแอบติ่งในหนังสือชี้ชวนอยู่ดีว่าต้องนำเงินบางส่วนไปชำระคืนหนี้
สาเหตุหลักที่ บจ.หันมาออกหุ้นกู้มากขึ้น วงการตลาดเงิน-ตลาดทุนให้ความเห็นทิศทางเดียวกันว่า 1. แบงก์เริ่มเข้มงวดการปล่อยกู้มากขึ้น เนื่องจากระยะหลังมีคนเบี้ยวหนี้บ่อย 2. ดอกเบี้ยเป็นแนวโน้มขาขึ้น เป็นผลให้ผู้ออกต้องปรับดอกเบี้ยหุ้นกู้เพิ่มขึ้นตามเพื่อจูงใจนักลงทุน ดังนั้นต้องเร่งออกเพื่อล็อกต้นทุน 3. หลายธุรกิจมีแนวโน้มถูกปรับลดอันดับเครดิต ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนเช่นกัน
ข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ระบุว่าในปีนี้จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนมูลค่ารวมสูงถึง 5.65 แสนล้านบาท 5 อุตสาหกรรมแรกที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 1.02 แสนล้านบาท กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 8.72 หมื่นล้านบาท กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 8.32 หมื่นล้านบาท กลุ่มธนาคาร 7.51 หมื่นล้านบาท และกลุ่มพาณิชย์ 6.94 ล้านบาท
ตัวเลขนี้ถ้า Roll Over ตั๋วกันได้ครบหมดจดก็ดีไป แต่ถ้าไม่หมดไม่ครบตามมูลค่าตั๋ว ก็บอกได้เลยว่าเหนื่อยและอันตราย เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยบีบบังคับให้มีต้นทุนสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เงินในกระเป๋าที่จะใช้ในการดำเนินกิจการมีน้อยลง อันนี้ระลอกแรกที่เกิดตามธรรมชาติ
นอกจากนี้ยังมีบางรายที่ออกแล้วได้ไม่ครบเต็มจำนวนก็ต้องไปกู้แบงก์มาชำระ แบกรับต้นทุนสูงขึ้นไปอีก บางรายก็มีแววโดนลดอันดับเครดิต สถานะการเงินเริ่มไม่น่ารัก ผลประกอบการทรงไม่ค่อยดีแต่ก็มีภาระจำเป็นที่ต้องออกเพื่อ Roll Over ตั๋วเก่า
สุดท้ายนี้ #เสี่ยวCrew ก็อยากจะบอกว่าหุ้นกู้ใดๆที่ออกมาเพื่อคืนหนี้ก็ระวังกันหน่อย เพราะโมเดลของมันคือ #การเอาหนี้ไปโปะหนี้ แม้ผู้ถือหุ้นกู้จะมีสิทธิได้รับเงินคืนเป็นลำดับต้นๆหากบริษัทเจ๊งหรือมีปัญหา แต่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะได้คืนแน่ไหม ไม่เชื่อลองไปถามผู้ถือหุ้น EARTH - IFEC ดูสิว่าได้คืนไหม
จึงเตือนมาเพื่อทราบ
