top of page

13 หุ้นโหดปี 65 ดิ่ง 52-79% รายย่อยติดดอยเกือบ 1.78 แสนราย



13 หุ้นโหดปี 65 ดิ่ง 52-79% รายย่อยติดดอยเกือบ 1.78 แสนราย #ติดหุ้นอาจทำให้ขาดทุนแต่ติดคุณอาจทำให้ขาดใจ

ตลาดหุ้นไทยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) ถึง 31 ส.ค. 65 ติดลบเล็กน้อยที่ 1.13% แต่ระหว่างทางผันผวนค่อนข้างมาก ดัชนีฯ เหวี่ยงขึ้นไปสูงสุด 1,718.55 จุด ลงไปต่ำสุด 1,517.51 จุด จากปัจจัยลบสารพัดทั้งสงคราม, ปัญหาเศรษฐกิจ, เงินเฟ้อ รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว นี่ขนาดว่าโรคระบาดโควิด-19 ซาลงไปแล้วนะครับ . สะท้อนว่าการลงทุนในปัจจุบัน ไม่มีอะไรแน่นอน คาดการณ์ได้ยากเหลือเกิน ขนาดคริปโทฯ ที่ว่าแน่ ยังแย่กันทั้งยวงเลยปีนี้ (เอาไว้ค่อยว่ากันในตอนหน้า) ... . กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย #เสี่ยวCREW สำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้นปีนี้จาก SETSMART พบว่า ตั้งแต่ต้นปี ถึง 31 ส.ค.65 มีถึง 533 หลักทรัพย์ที่ผลตอบแทนราคาติดลบ หรือเกินครึ่งของหลักทรัพย์ทั้งหมด โดยพบว่ามี 364 หลักทรัพย์ติดลบเกิน 10% ขณะที่ 195 หลักทรัพย์ติดลบเกิน 20% และมีถึง 78 หลักทรัพย์ที่ติดลบเกิน 30% ที่สำคัญมี 13 หลักทรัพย์ที่ติดลบเกิน 50% สูงสุดถึง 79% . ไฮไลต์ที่จะเล่าวันนี้คือ 13 บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ราคาติดลบเกิน 50% ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายย่อยรวมกันเกือบ 1.78 แสนราย !!! ส่วนใหญ่เทรดอยู่ใน SET รวม 10 บริษัท และ mai จำนวน 3 บริษัท . หุ้นที่ติดลบมากสุดคือ บมจ.สินมั่นคงประกันภัย (SMK) ที่ลงไปถึง 79% ราคาล่าสุดอยู่ที่ 4.78 บาท ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าได้รับผลกระทบจากประกันโควิด "เจอ จ่าย จบ" ไปเต็มๆ จนถึงตอนนี้ยังมีผู้ที่ไม่ได้รับเงินเคลมประกันจำนวนมาก สะท้อนจากผลประกอบการครึ่งแรกปี 65 ที่ขาดทุนถึง 3.26 หมื่นล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุนเพียง 183 ล้านบาท เท่านั้น แต่ยังดีหน่อยที่ บจ.นี้มีผู้ถือหุ้นรายย่อยน้อยที่สุดในกลุ่มเพียง 1,859 ราย มิเช่นนั้นคงช้ำทั้งผู้ซื้อประกันและผู้ซื้อหุ้น . ส่วนรายที่มีรายย่อยถือหุ้นมากสุดระดับ 6.7 หมื่นราย คือ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT อดีตหุ้นขวัญใจนักลงทุนช่วงโควิด เพราปีก่อนราคาขึ้นไปทำไฮถึง 49 บาท (ปรับราคาตามการปรับพาร์แล้ว) แต่หลังจากนั้นก็สาละวันเตี้ยลง ล่าสุดเหลือเพียง 13.80 บาท หากนับจากต้นปีนี้คิดเป็นการลดลงถึง 53% แต่หากนับจากจุดสูงสุดปีก่อน จะลดลงมโหฬารระดับ 72% . ทั้งนี้มี 4 บจ.ที่รายย่อยถือหุ้นเกินหมื่นราย ประกอบด้วย STGT, บมจ.อี ฟอร์ แอล เอม , บมจ.ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) และ บมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) . หุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ผลประกอบการแย่ลงจากปีก่อน บางบริษัทกำไรลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บางบริษัทขาดทุนเพิ่มขึ้น และบางบริษัทถึงกับพลิกขาดทุน . มีคนเคยบอกว่าทุกวิกฤติมีโอกาส หุ้นในกลุ่มนี้หลายบริษัทเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ การที่ราคาหุ้นลงแรงอาจจะเป็นโอกาสในการหาของดีราคาต่ำ . พวกเราอยากแนะนำต่อไปว่า คิดดีๆ นะครับ หากไม่ศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ อาจจะพลิกโอกาสให้เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติก็ได้ อย่าริวิ่งเก็บเหรียญตัดหน้ารถสิบล้อเบรกแตกเลย ...

20 views0 comments
bottom of page